“กอดกันหน่อยได้ไหม ให้ฉันได้ชื่นใจซักที
กอดกันเถอะคนดี สุขทุกนาทีที่ได้กอดกัน
อยากจะกอดเธอไว้ ให้หัวใจฉันเคียงข้างเธอ
กอดเธอแบบเพลินๆ ไม่คิดล่วงเกิน แค่พออุ่นใจ
โลกเราวันนี้สับสนเหลือเกินฉันเลยเป็นห่วง เห็นเธอเหนื่อยล้าเลยคิดว่าดีถ้าเรากอดกัน”
บทเพลงที่คุ้นหูใครหลายๆคนของศิลปินวงทีโบนที่เราได้ยินวันนี้ ทำให้เรานึกถึงแคมเปญ“Free Hugs”ที่เคยสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อสองปีก่อน ด้วยความคิดน่ารักๆของคุณฮวน มานน์ (Juan Mann) ที่อยากจะแจกอ้อมอกอุ่นๆของตัวเองให้คนแปลกหน้าได้แอบอิง ทำให้การก่อกำเนิดของ “Free Hugs” เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลยทีเดียว
คุณฮวน มานน์เคยอาศัยอยู่ในลอนดอน จนกระทั่งวันนึงเค้าจำต้องกลับบ้านเกิดที่ซิดนีย์ โดยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบและโลกซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา ไม่มีใครคอยต้อนรับ ไม่มีที่ๆเค้าสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "บ้าน" ราวกับว่าเค้าเป็นแค่นักท่องเที่ยวในบ้านเกิดของตัวเอง ขณะที่ฮวนยืนอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้า เค้าได้เห็นผู้โดยสารคนอื่นๆ มีเพื่อน มีญาติ มีครอบครัวมารอรับ
ที่นั่น..เต็มไปด้วยอ้อมกอด
ที่นั่น..เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ณ ตอนนั้น สิ่งเดียวที่เค้าต้องการมากที่สุดคือ... ”รอยยิ้มและอ้อมกอดจากใครสักคนที่รอการกลับมาของเค้า”
ทำให้คุณฮวณเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง เค้าหาแผ่นกระดาษแข็งเอามาทำเ
ป็นป้าย แล้วก็ตรงไปยังย่านที่มีคนเดินพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่ง ถือป้ายที่เค้าทำขึ้นเอง บนป้ายทั้งสองด้านเขียนไว้ว่า “FREE HUGS” โดยส่วนตัวแล้วเราชอบแคมเปญนี้เอามากๆ เราเป็นคนนึงล่ะที่ชอบการกอด เราว่ากอดมันสามารถสื่ออะไรได้หลายๆอย่าง ยามที่เรากอดเราจะสามารถสัมผัสความรู้สึกของกันและกันได้ โดยที่เราไม่ต้องปริปากเอื้อนเอ่ยวาจากันเลยสักนิด แคมเปญนี้ทำให้เราเกิดคำถามกับตัวเองและอยากจะถามใครหลายๆคน

เคยรู้สึกบ้างมั้ยว่า... ในยุคที่เรียกว่าการสื่อสารไร้พรมแดน ทว่าทำไมการติดต่อกับสังคมหรือคนรอบข้างกลับถูกตัดขาด เรากลับคิดว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนพูดคุยหรือรับฟัง ใครสักคน...ที่ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนจอสี่เหลี่ยมที่เราเรียกมันว่า “คอมพิวเตอร์” อันกลายเป็นปัจจัยที่ห้าในชีวิตของมนุษย์โลกยุคดิจิตอลไปแล้ว ในบางเวลาคำพูดก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลยในการสื่อสาร แค่สัมผัสเบาๆแต่ทรงพลังที่เรียกว่า”กอด” อาจจะสื่อความหมายได้มากมายกว่าคำพูดสวยหรูที่คนเราบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาซะอีก

พูดได้ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเบื่อโลกดิจิตอล เบื่อไอ้การพูดคุยทางตัวหนังสือผ่านจอสี่เหลี่ยม ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยรับมันเข้ามาเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตเหมือนคนอื่นๆในชนิดที่เรียกว่าขาดแทบไม่ได้ เพื่อนเก่าเราคนหนึ่งเรียกอาการของเราว่า ภาวะจำศีล ซึ่งเราจะมักจำศีลอยู่เป็นพักๆ โดยการหายหน้าหายตาไปจากเพื่อนฝูง การติดต่อเราในช่วงนี้จะยากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่ชนิดที่ตามมาลากคอกันถึงบ้านก็คงไม่ได้เจอเป็นแน่ ซึ่งเพื่อนๆก็ชินกับการจำศีลของเราแล้ว จึงไม่คอยตามไถ่ถามเหมือนกับตอนแรกๆ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเราก็กลับไปเอง ภาวะจำศีลของเรา มันอาจดูคล้ายๆกับว่าเราต้องการที่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง โดยการสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเป็นกำแพงเพื่อที่จะปิดกลั้นตัวเองจากโลกภายนอก แต่ลึกๆแล้วเรารู้สึกว่าเรากำลังเหงา เหงาแต่ไม่ต้องการพูด ไม่ต้องการการสื่อสารใดๆ ต้องการก็เพียงแต่สัมผัสเบาๆจากอ้อมกอดของใครบางคนที่จะมาปลอบประโลมหัวใจให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้นเอง....
**เรารักที่จะกอด แต่จะให้เราไปอ้าแขนเชื้อเชิญคนแปลกหน้าให้มาซุกอยู่ในอ้อมอกแบบคุณฮวน ก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน กอดของเราไม่ขอใช้พร่ำเพรื่อ เราจะขอเก็บกอดของเราไว้ให้เฉพาะคนที่เรารักดีกว่า มันจะได้สื่อความรู้สึกกันแบบเน้นๆกันไปเลย ประมาณว่ากอดนี้...เพื่อเธอ อะไรทำนองนั้น (รู้สึกเน่าๆเสี่ยวๆยังไงชอบกล...แต่บางครั้งฟังอะไรเน่าๆแบบนี้มันก็ทำให้หัวใจพองโตได้นะเออ)
***อ่านเรื่องเต็มๆของ Free Hugs ได้ที่นี่
No comments:
Post a Comment
Comment ^_^