Saturday, March 13, 2010

ที่หล่นหายไป ในทุกก้าวเดิน



จากการที่เราได้คลุกคลีกับเด็กคนหนึ่ง มาได้สักระยะ ทุกๆวันในเวลาหลังเลิกเรียนหนูน้อยจะวิ่งมากดกริ่งที่ประตูหน้าห้องทำงาน และยืนทำตาแป๋วรอให้เราเดินไปเปิดประตูให้ แล้วก็จะเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง นั่นคือเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆโต๊ะทำงานของเรา วันแรกที่เราสองคนได้พบกัน เรานั่งทำงานของเราไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็รู้สึกว่ามีใครมองอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปดู ก็พบกับสายตาของสาวน้อยคนหนึ่ง ที่รีบก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อเมื่อเห็นว่าเราหันไปมอง ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็จะมีตาแป๋วๆแอบมองตามไปทุกที และก็จะเขินอายทุกครั้งที่เราจับได้ว่าแอบมองอยู่ จนเราอดรนทนไม่ไหว จนต้องเข้าไปทำความรู้จัก หนูน้อยคนนี้เป็นลูกสาวของพี่ห้องเสื้อที่อยู่ชั้นบน และวันนั้นเราก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน หลังจากได้เข้าเป็นน้องใหม่ในบริษัทแห่งนี้ไม่กี่วัน ทุกๆเย็น เราจะรับหน้าที่เป็นคุณครูจำเป็นให้หนูน้อยไปโดยปริยาย เราหลงรักในความไร้เดียงสา และความขี้ประจบของเด็กคนนี้เอามากๆ จนถึงขนาดที่ว่า เวลาที่ได้ยินเสียงกริ่งที่หน้าห้องในเวลาเดียวกับที่หนูน้อยเคยมา เราจะเป็นคนเดินไปเปิดประตูให้ทุกครั้งไป ทุกครั้งที่ได้ยินหนูน้อยเล่าเรื่องต่างๆที่โรงเรียนให้ฟัง ถึงจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ดูน่ารักน่าชัง ไปตามประสาเด็กช่างฉอเลาะ หลายๆครั้งที่มองหนูน้อยคนนี้แล้วทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็ก ที่เหมือนว่าเราจะทำมันตกหล่นไว้ตามซอกมุมต่างๆในระบบความจำ




ความสุขของวัยเด็ก คือ ความไม่รู้ ไม่ปักใจในสุข และไม่รับรู้ในทุกข์ เมื่อไม่รู้..ย่อมไม่ทุกข์ และเมื่อสุข จึงสุขได้อย่างเต็มที่ ยิ้มได้อย่างกว้างขวาง เบิกบาน...




เมื่อตอนเป็นเด็กเรามักจะตื่นเต้นและสนุกกับทุกเทศกาลที่โรงเรียนจัดขึ้น ปีใหม่ วันเด็ก และคริสมาสต์ เทศกาลที่เราโปรดปรานที่สุด เกมส์ต่างๆ กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีสวยเต็มโต๊ะ และสิ่งที่เราชอบที่สุดในเทศกาลนี้ คือ ต้นคริสมาสต์หน้าโรงเรียน ตอนเด็กๆ จำได้ว่ามันช่างดูสูงใหญ่….เสียเหลือเกิน กว่าจะรู้ว่าซานตาครอสหน้าโรงเรียน คือ ลุงยามหน้าโรงเรียนที่โดนสั่งให้ใส่ชุด ส่วนต้นคริสมาสต์ก็แค่ ต้นไม้ปลอมที่เหมือนจะเล็กลงๆ ทุกปี เวลาก็ผ่านไปหลายปีพอดู ยิ่งขึ้นชั้นเรียนที่สูงขึ้น งานคริสมาสต์ของโรงเรียนก็ดูจะน่าตื่นเต้นน้อยลง เกมส์ต่างๆที่มี ก็ดูจะน่าเบื่อไปเสียหมด แม้แต่ซานตาครอส ทั้งๆที่เป็นลุงคนเดิม แต่ก็ดูน่าเบื่อและน่าขัน



ก็แค่ลุงยามใส่ชุด......


ความคิดนี้มันช่างเย็นชา ดูแห้งแล้งเหมือนกับโลกของผู้ใหญ่ ที่ต่อมจินตนาการบกพร่อง




การเติบโตมันคงเดินสวนทางกับจินตนาการกระมัง เราทำมันหล่นหายไปสักเท่าไหร่กัน ตลอดการเดินทางเพื่อที่จะเติบโต ถุงเท้าก็แค่ถุงเท้าธรรมดาเมื่อมองเห็น ไม่ได้สำคัญหรือน่ารอคอยของขวัญใดๆ เพราะเรารู้แล้วว่าซานตาครอสไม่มีอยู่จริง แต่ข้อดีของการเติบโต คือ เราไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้ลุงซานตาครอส หรือใครก็ตามที่ให้ของขวัญ หรือความสุขในเทศกาลไหนๆ เมื่อเรารู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง วันนี้เราที่เดินทางมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งของชีวิต เราเติบโตพอที่จะรู้ว่า ผู้ที่จะนำความสุขใส่กลับมาในถุงเท้านั้นได้ ก็มีแต่เรา




ลองหลับตา ลืมความจริงไปสักพัก แล้วมาร่อนตะแกรงความทรงจำนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เรายังเชื่อในจินตนาการ และยังมีความหวังกับทุกสิ่งบ้าง จะเป็นไรไป....... บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่ก็คงไม่สึกหลอลงไปหรอกมั้ง

Friday, January 8, 2010

เจ้าหญิง เจ้าชาย ดอกไม้ หมาหัวเน่า

อยู่ๆเราก็นึกถึง เจ้าสุนัขจิ้งจอกในหนังสือเจ้าชายน้อย ตอนที่มันสอนให้เจ้าชายน้อยรู้จักกับการสร้างความสัมพันธ์ โดยการขอให้เจ้าชายน้อยช่วยหัดให้มันเชื่อง

ก่อนที่ทั้งสองจะสร้างความสัมพันธ์กัน สุนัขจิ้งจอกได้พูดกับเจ้าชายน้อยว่า "สำหรับฉัน เธอเป็นเพียงเด็กผู้ชายเล็กๆคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับเด็กชายอื่นๆอีกแสนคนฉันไม่ต้องการเธอ และเธอไม่ต้องการฉัน เช่นเดียวกัน ฉันก้อเป็นสุนัขจิ้งจอกธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่นๆอีกแสนตัว แต่ทว่า ถ้าเมื่อใดที่เธอคุ้นเคยใกล้ชิดกับฉัน เมื่อนั้นเราต่างก็ต้องการซึ่งกันและกัน เธอก็จะเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็จะเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับเธอด้วย"


"ถ้าเธอทำให้ฉันเชื่อง ชีวิตของฉันก็จะสดใสขึ้น ฉันจะเรียนรู้จักฝีเท้าของเธอผิดจากเสียงอื่นทั้งสิ้น เสียงฝีเท้าอื่นจะทำให้ฉันหลบลงใต้ดิน แต่เสียงฝีเท้าของเธอจะเรียกให้ฉันอกมาจากโพรงดินและเธอดูนั่นสิ ที่นั่นทุ่งข้าวสาลี ฉันไม่กินขนมปังหรอก ข้าวสาลีหาได้มีประโยชน์กับฉันไม่ นาข้าวสาลีจึงไม่ทำให้ฉันหวนระลึกถึงสิ่งใดเลย และนั่นเป็นสิ่งน่าเศร้า เธอมีผมสีทอง ฉะนั้น ถ้าเธอก่อความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสอง ก็จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง ข้าวสาลีสีเหลืองอร่ามจะทำให้ฉันหวนระลึกถึงเธอ"


ด้วยคำขอของสุนัขจิ้งจอกเจ้าชายน้อยจึงหัดมันจนเชื่อง และเมื่อเวลาจากกันใกล้เข้ามา....


"อา...ฉันจะร้องไห้แล้ว"สุนัขจิ้งจอกกล่าว


"เป็นความผิดของเธอเอง ฉันไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจ แต่เธอเองอยากให้ฉันหัดให้เชื่อง"


"ใช่แล้ว" สุนัขจิ้งจอกกล่าว


"แต่แล้วเธอกลับร้องไห้" เจ้าชายน้อยติง


"แน่ละ"



"ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้อะไรเลย"


"ฉันได้สิ"สุนัขจิ้งจอกกล่าว "ก็สีของข้าวสาลีไงล่ะ"



"ลาก่อน และนี่คือความลับของฉันมันเป็นเรื่องธรรมดามากเราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา" (ประโยคนี้ถือว่าเป็นประโยคสุดฮิตของเรื่องนี้เลยทีเดียว)


"ช่วงเวลาที่เธอเสียไปเพื่อดอกกุหลาบนั้นเอง ที่ทำให้ดอกกุหลาบของเธอมีความหมายสำคัญมากมายขนาดนี้"


“มนุษย์ลืมความจริงข้อนี่” สุนัขจิ้งจอกเอ่ย



“แต่เธอต้องไม่ลืมมัน เธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย... เธอต้องรับผิดชอบต่อกุหลาบของเธอ....” เจ้าสุนัขจิ้งจอกกล่าวย้ำเตือนเจ้าชายน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะบอกลากัน



ความสัมพันธ์สิ่งที่สวยงามในความคิดของเรา ความสัมพันธ์ทำให้สิ่งที่แสนจะธรรมดาเกิดมีความหมายพิเศษขึ้นมา เมื่อเรานึกถึงใครอีกคนนึง สถานที่ธรรมดาๆในสายตาของคนอื่น ก็กลับกลายเป็นสถานที่พิเศษของเรา ในยามที่มองเห็นหรือนึกถึงสิ่งๆนั้น เราจะนึกถึงคนๆนั้นเป็นคนแรก ความสัมพันธ์ของเจ้าชายน้อยทำให้เราคิดถึงเจ้าตุ๊กตาเป็ดน้อยตัวเก่าของเรา เราไม่ใช่เด็กที่ชอบเล่นตุ๊กตา แต่สำหรับตุ๊กตาตัวนี้มันต่างกันออกไป เราจำความรู้สึกตอนที่ได้พบมันครั้งแรกได้ดี มันเป็นตุ๊กตาเป็ดที่น่ารักที่สุด ตุ๊กตาลูกเป็ดตัวน้อยๆ ขนฟูสีครีมอ่อนๆแก้มแดง หน้าตายุ่งๆเหมือนเด็กกวนๆ ใส่เอี๊ยมสีฟ้าสดใส มันน่ารักจนเราอยากจะพามันติดตัวไปด้วยในทุกๆที่ แต่ติดที่แม่มักจะขู่ว่า พาออกไปนอกบ้านบ่อยๆ ระวังแก๊งลักเป็ดจะจับไป(ตอนนั้นเราคิดเอาเองว่า แก๊งลักเป็ด คงคล้ายๆแก๊งลักเด็กกระมัง) ในตอนนั้นมันคือตุ๊กตาผ้าที่สวยสดใสน่ารักเป็นที่สุด แต่กาลเวลาก็ได้ทำให้มันเปลี่ยนไป จากสีที่เคยสดสวยก็กลายเป็นเก่าซีด หม่นหมอง ไม่น่ารักน่ากอดเหมือนเมื่อครั้งแรกเห็น แม่ของเราเคยหยิบมันไปทิ้งหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่าเราต้องตามไปเก็บมาไว้ที่เดิมทุกครั้งไป ตุ๊กตาตัวใหม่หลายตัวเคยถูกพามาไว้ในห้องเราด้วยเหตุผลที่ว่า เอามาแทนตัวเก่า แต่ไม่นานนักพวกมันก็จะถูกย้ายไปอยู่ในตู้นอกห้องเหมือนกันหมดทุกตัว โดยเราให้เหตุผลว่ามันเกะกะ รกห้อง ที่แปลกก็คือตุ๊กตาเป็ดตัวเก่าของเรามันยังคงอยู่ในที่เดิมของมันมาตลอด มันไม่เคยเกะกะสายตาเราเลยสักนิดเดียว นี่คงเป็นความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้นกับน้องเป็ดกระมัง ความสัมพันธ์ที่กลายเป็นความรักความผูกพัน จนไม่อยากให้ห่างหายไปไหน ถึงแม้ว่าในสายตาของแม่เรา หรือคนอื่นๆ อาจจะมองมันว่าเป็นตุ๊กตาเป็ดเก่าๆสกปรกไม่ต่างอะไรไปจากขยะ แต่สำหรับเราแล้วมันคือตุ๊กตาตัวแรกและตัวเดียวของเรา ทุกครั้งที่กอดมันเราจะรู้สึกว่าเรากำลังตามเก็บอดีตที่เราเผลอวางลืมเอาไว้ ในสายตาของเรามันยังคงสวยน่ารัก น่ากอดที่สุดเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เราพบเจอมันไม่มีผิด คงคล้ายๆกับที่เจ้าชายน้อยกลายเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับสุนัขจิ้งจอก และสุนัขจิ้งจอกก็เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับเจ้าชายน้อยนั่นแหละ


“ถ้าสร้างสัมพันธ์ขึ้นมาแล้วต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์นั้น”


ประโยคนี้ทำให้เรากลับมานั่งคิดทบทวน การรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นสำหรับเรามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่ต้องทำอย่างพิถีพิถันพอสมควร คงจะจริงที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกว่าจริงๆนั่นแหละ มนุษย์เรามีความสัมพันธ์อยู่มากมาย คนเราสนุกกับการสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา โดยไม่ได้นึกก่อนว่าอยากจะรับผิดชอบหรือรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้หรือไม่ การเริ่มต้นของความสัมพันธ์นั้นมักจะสนุก ความตื่นเต้นมักจะทำให้เรารู้สึกดี การเริ่มต้นจึงดูน่าดึงดูดใจอยู่เสมอ ทำให้บางทีคนเราลืมนึกไปว่าเราจริงจังหรืออยากใส่ใจกับความสัมพันธ์นี้มากแค่ไหน ดังนั้นมันมักจะเสี่ยงที่เราจะสร้างความคาดหวังให้กันมากกว่าที่เราต้องการจริงๆได้ง่ายๆ และนำมาซึ่งความไม่ทุกข์ใจทั้งของตนเองและคนอื่นได้



ในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถรับผิดชอบดูแลรักษาความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ไว้ให้ดีเท่าๆกันหมดได้ อาจจะมีบ้างที่ความสัมพันธ์ต้องจางหายไปเพราะความละเลย ขณะเดียวกันความสัมพันธ์มันก็คงไม่ได้ต้องการการดูแลและเอาใส่ใจเท่ากันทุกอัน มันมีระดับความสำคัญต่างๆกันอยู่ ไอ้เจ้าความสำคัญเนี่ย มันก็คงขึ้นอยู่กับการที่เราให้ความใส่ใจในความสัมพันธ์นั้นๆมากเท่าใด เหมือนเจ้าชายน้อยที่ใส่ใจดูแลดอกกุหลาบของเขา คอยรดน้ำ พรวนดิน หาโถแก้วไปครอบปกป้องดอกกุหลาบที่ไร้ทางสู้จากอันตรายรอบด้าน ทำที่บังลมป้องกันลมแรงๆที่อาจจะทำให้ลำต้นอันบอบบางหักได้ คอยฟังมันพร่ำบ่น หรือคุยโม้โอ้อวดตน ทั้งหมดนี้ก็เพราะมันคือกุหลาบเพียงดอกเดียวของเขา เราเองก็อยากจะเป็นดอกกุหลาบให้เจ้าชายน้อยมาคอยทะนุถนอม เอาใจใส่ รดน้ำพรวนดินให้ ในขณะที่บางครั้งเราก็ต้องการเป็นเจ้าชายน้อยที่คอยโอบอุ้มดอกกุหลาบ ทำตัวเป็นเกราะกำบังลมร้ายที่อาจทำให้ลำต้นบางๆนั้นบอบช้ำ


แต่ในตอนนี้ เรากำลังเป็นสุนัขจิ้งจอกของใครคนหนึ่ง เราแสดงออกว่าคนๆนั้นจะต้องรับผิดชอบที่ทำให้เราเชื่องเช่นนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าสักวันเราทั้งสองอาจจะต้องเอ่ยคำลาจากกัน หลายๆครั้ง ที่เราเรียกร้องให้เขาทำให้เรารู้สึกดี ต้องให้เวลากับเรา เราเคยคิดว่าเราต้องเป็นดอกกุหลาบ และ เขาต้องเป็นเจ้าชายน้อย เราคิดไปเองว่าเราไม่เหมือนกุหลาบดอกอื่น เราเป็นกุหลาบดอกเดียวของเขา โดยที่เราลืมคิดไปว่า เขาเต็มใจจะเป็นเจ้าชายน้อยของเราหรือเปล่า? ความจริงแล้วเราอาจจะเป็นแค่สุนัขจิ้งจอกที่นับเวลาถอยหลังเข้าสู่ห้วงยามแห่งการจากลา เรายังไม่พร้อมสำหรับเวลานั้น... แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆเราจะยอมรับความจริงเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่ว่า "เจ้าชายน้อยมีดอกกุหลาบของเขาอยู่แล้ว"







** เมื่อไม่นานมานี้ เราได้พูดถึงตุ๊กตาตัวเก่าของเราให้คนๆหนึ่งฟัง เราเปรียบเทียบเขากับตุ๊กตาเป็ดตัวนี้ แน่นอนเราไม่ได้ว่าเขาสกปรก ซอมซ่อ ไม่น่ารักน่ามองแต่อย่างใด หากเพียงแต่สำหรับเราแล้วเขาคือคนๆเดียวสำหรับเรา โดยที่เราเองก็แอบหวังอยู่ลึกๆว่าก็อาจจะเป็นดอกกุหลาบดอกเดียวของเขาด้วยเช่นกัน