Friday, December 18, 2009

กอดอาสา


“กอดกันหน่อยได้ไหม ให้ฉันได้ชื่นใจซักที
กอดกันเถอะคนดี สุขทุกนาทีที่ได้กอดกัน
อยากจะกอดเธอไว้ ให้หัวใจฉันเคียงข้างเธอ
กอดเธอแบบเพลินๆ ไม่คิดล่วงเกิน แค่พออุ่นใจ
โลกเราวันนี้สับสนเหลือเกินฉันเลยเป็นห่วง เห็นเธอเหนื่อยล้าเลยคิดว่าดีถ้าเรากอดกัน”

บทเพลงที่คุ้นหูใครหลายๆคนของศิลปินวงทีโบนที่เราได้ยินวันนี้ ทำให้เรานึกถึงแคมเปญ“Free Hugs”ที่เคยสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อสองปีก่อน ด้วยความคิดน่ารักๆของคุณฮวน มานน์ (Juan Mann) ที่อยากจะแจกอ้อมอกอุ่นๆของตัวเองให้คนแปลกหน้าได้แอบอิง ทำให้การก่อกำเนิดของ “Free Hugs” เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลยทีเดียว
คุณฮวน มานน์เคยอาศัยอยู่ในลอนดอน จนกระทั่งวันนึงเค้าจำต้องกลับบ้านเกิดที่ซิดนีย์ โดยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบและโลกซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา ไม่มีใครคอยต้อนรับ ไม่มีที่ๆเค้าสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า "บ้าน" ราวกับว่าเค้าเป็นแค่นักท่องเที่ยวในบ้านเกิดของตัวเอง ขณะที่ฮวนยืนอยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้า เค้าได้เห็นผู้โดยสารคนอื่นๆ มีเพื่อน มีญาติ มีครอบครัวมารอรับ

ที่นั่น..เต็มไปด้วยอ้อมกอด

ที่นั่น..เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ณ ตอนนั้น สิ่งเดียวที่เค้าต้องการมากที่สุดคือ... ”รอยยิ้มและอ้อมกอดจากใครสักคนที่รอการกลับมาของเค้า”

ทำให้คุณฮวณเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง เค้าหาแผ่นกระดาษแข็งเอามาทำเป็นป้าย แล้วก็ตรงไปยังย่านที่มีคนเดินพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่ง ถือป้ายที่เค้าทำขึ้นเอง บนป้ายทั้งสองด้านเขียนไว้ว่า “FREE HUGS” โดยส่วนตัวแล้วเราชอบแคมเปญนี้เอามากๆ เราเป็นคนนึงล่ะที่ชอบการกอด เราว่ากอดมันสามารถสื่ออะไรได้หลายๆอย่าง ยามที่เรากอดเราจะสามารถสัมผัสความรู้สึกของกันและกันได้ โดยที่เราไม่ต้องปริปากเอื้อนเอ่ยวาจากันเลยสักนิด แคมเปญนี้ทำให้เราเกิดคำถามกับตัวเองและอยากจะถามใครหลายๆคน
เคยรู้สึกบ้างมั้ยว่า... ในยุคที่เรียกว่าการสื่อสารไร้พรมแดน ทว่าทำไมการติดต่อกับสังคมหรือคนรอบข้างกลับถูกตัดขาด เรากลับคิดว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนพูดคุยหรือรับฟัง ใครสักคน...ที่ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนจอสี่เหลี่ยมที่เราเรียกมันว่า “คอมพิวเตอร์” อันกลายเป็นปัจจัยที่ห้าในชีวิตของมนุษย์โลกยุคดิจิตอลไปแล้ว ในบางเวลาคำพูดก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลยในการสื่อสาร แค่สัมผัสเบาๆแต่ทรงพลังที่เรียกว่า”กอด” อาจจะสื่อความหมายได้มากมายกว่าคำพูดสวยหรูที่คนเราบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาซะอีก


พูดได้ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเบื่อโลกดิจิตอล เบื่อไอ้การพูดคุยทางตัวหนังสือผ่านจอสี่เหลี่ยม ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยรับมันเข้ามาเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตเหมือนคนอื่นๆในชนิดที่เรียกว่าขาดแทบไม่ได้ เพื่อนเก่าเราคนหนึ่งเรียกอาการของเราว่า ภาวะจำศีล ซึ่งเราจะมักจำศีลอยู่เป็นพักๆ โดยการหายหน้าหายตาไปจากเพื่อนฝูง การติดต่อเราในช่วงนี้จะยากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่ชนิดที่ตามมาลากคอกันถึงบ้านก็คงไม่ได้เจอเป็นแน่ ซึ่งเพื่อนๆก็ชินกับการจำศีลของเราแล้ว จึงไม่คอยตามไถ่ถามเหมือนกับตอนแรกๆ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเราก็กลับไปเอง ภาวะจำศีลของเรา มันอาจดูคล้ายๆกับว่าเราต้องการที่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง โดยการสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเป็นกำแพงเพื่อที่จะปิดกลั้นตัวเองจากโลกภายนอก แต่ลึกๆแล้วเรารู้สึกว่าเรากำลังเหงา เหงาแต่ไม่ต้องการพูด ไม่ต้องการการสื่อสารใดๆ ต้องการก็เพียงแต่สัมผัสเบาๆจากอ้อมกอดของใครบางคนที่จะมาปลอบประโลมหัวใจให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้นเอง....







**เรารักที่จะกอด แต่จะให้เราไปอ้าแขนเชื้อเชิญคนแปลกหน้าให้มาซุกอยู่ในอ้อมอกแบบคุณฮวน ก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน กอดของเราไม่ขอใช้พร่ำเพรื่อ เราจะขอเก็บกอดของเราไว้ให้เฉพาะคนที่เรารักดีกว่า มันจะได้สื่อความรู้สึกกันแบบเน้นๆกันไปเลย ประมาณว่ากอดนี้...เพื่อเธอ อะไรทำนองนั้น (รู้สึกเน่าๆเสี่ยวๆยังไงชอบกล...แต่บางครั้งฟังอะไรเน่าๆแบบนี้มันก็ทำให้หัวใจพองโตได้นะเออ)

***อ่านเรื่องเต็มๆของ Free Hugs ได้ที่นี่
FREE HUGS

Monday, December 7, 2009

ลายรักอักษร

ช่วงนี้ ไม่มีอะไรทำ ทำให้เราอ่านหนังสือจบไปหลายเล่ม มันเป็นช่วงเวลาที่เราว่าเรามีอารมณ์ร่วมไปกับหนังสือทุกเล่มที่เราอ่านได้ดีจริงๆ หลังจากที่เราได้รับของขวัญวันเกิดเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือปกสีหวาน เนื้อหาสวยๆ “Love Letters of Great Men” ที่รวบรวมจดหมายรักของเหล่าสุภาพบุรุษคนดังในอดีตที่เขียนถึงหญิงผู้เป็นที่รัก ทำให้เราหลงรักเจ้าจดหมายรักเข้าอย่างจัง อ่านจบยังเกิดแรงถีบทำให้เราได้ไปหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจดหมายรักมาอ่านอีกหลายเล่ม อย่าง จดหมายรักยาขอบ - ยาขอบ เจ้าของหนังสือผู้ชนะสิบทิศ ยาขอบวัย 32 เขียนจดหมายรักถึงพนิดา นักเรียนการประพันธ์สาววัย 20 ในขณะที่ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้วถึง 4คน จดหมายรักของยาขอบนั้นช่างหวานนัก ไม่เสียชื่อกวีเอก ภาษาสวยๆที่ใช้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อารมณ์หวานแต่มันก็เป็นความหวานปนห่ามนิดๆตามแบบผู้ชาย อีกเล่มนึงก็คือ กล่องไปรษณีย์สีแดง – คุณอภิชาติ เพชรลีลา หรือที่หลายๆคนรู้จักจากภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อนสนิท” อ่านเล่มนี้จบ เราพูดได้เต็มปากเลยว่า เราตกหลุมหลงรักไข่ย้อย ชายหนุ่มที่มีกลิ่นอายของธรรมชาติ ภูเขา ทะเล ต้นไม้ คนนี้เข้าอย่างจัง ไข่ย้อยเป็นหนุ่มที่มีอารมณ์โรแมนติกเหลือหลาย จดหมายรักที่ไข่ย้อยเขียนถึงดากานดาในความรู้สึกของเรามันช่างอ่อนหวาน ละเมียดละไมยิ่งนัก ไอ้เจ้าความรู้สึกที่ได้รับจดหมายรักนี่มันช่างดีจริงๆ ถึงแม้จะเป็นข้อความสั้นๆไม่กี่บรรทัด แต่ในความรู้สึกเรามันช่างหวานจับใจ ชวนให้อ่านซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ ด้วยแรงถีบของไข่ย้อย ทำให้เราเกิดอาการอยากจะเขียนจดหมายรักซักฉบับ มันยากก็อิตอนเริ่มนี่แหละ ที่เราไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนยังไงดี เพราะเรากลัวว่าจะถ่ายทอดอารมณ์รักผ่านจดหมายไปได้ไม่หมด แต่พอได้เริ่มเขียนเรากลับได้คำตอบให้กับตัวเราเองว่า เขียนไปตามความรู้สึกนั่นแหละดีที่สุด และสิ่งนึงที่เราชอบที่สุดก็คือ เราชอบตัวเราตอนที่กำลังเขียนจดหมายจัง เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเราอ่อนโยนและอ่อนหวานต่อความรักเป็นที่สุด

Friday, October 23, 2009

อาหารกระป๋องที่ชื่อว่า”ความรัก”

เนื่องด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน ค่อนไปทางจิตตก วันนี้เราจึงบ้าพลังอัพบล๊อกถึงสองครั้ง เริ่มด้วยเรื่องที่เราเคยเขียนไว้และด้วยภารกิจบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้ต้องทิ้งค้างไว้ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เขียนต่อให้จบ

“ความรักมีวันหมดอายุได้ด้วยเหรอพี่...”

ประโยคที่ “พลอย” ถามกับ “วิทย์” ระหว่างทั้งคู่นอนคุยกันอยู่บนเตียง
เริ่มด้วยประโยคจากหนังที่อาร์ต(หรือที่ใครๆมักจะเรียกว่าติสแตก) เรื่อง ”พลอย” หนังที่ ”คุณเป็น เอก รัตนเรือง” กำกับ โดยส่วนตัวแล้วเรายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้หรอก เพื่อนเราหลายๆที่ไปดูมามักจะบ่นกันว่าหนังติสเกิน ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่เคลียร์ มีคนนึงเล่าให้ฟังว่าไปดูหนังเรื่องนี้กับครอบครัวมา พอหนังจบก็เกิดคำถามขึ้นมากมาย จนทั้งครอบครัวต้องมานั่งถกกันต่อ จนมันบ่นว่า

“นี่ กรูเสียตังค์มาดูหนัง แล้วกรูยังต้องมานั่งปวดหัวเป็นวันอีกหรอเนี่ย”

“แถมยังทำให้ครอบครัวแตกแยกอีก” (เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกัน ฮ่าๆ)

แต่ เราพอจำได้คร่าวๆว่าคุณเป็นเอกบอกว่าหนังเรื่องนี้มาจากการคุยกับเพื่อนๆที่ แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว คุณเป็นเอกบอกว่าจากการที่ได้พูดคุยกับเพื่อนเหล่านี้ก็ไม่เห็นมีใครที่มี ความสุขจริงๆกันซักคน คำตอบของเพื่อนทำให้คุณเป็นเอกเกิดคำถามมากมายว่าชีวิตคู่มันแย่อย่างนั้น เลยหรือ แล้วชีวิตคู่ที่สมบรูณ์พร้อมล่ะมีอยู่จริงๆรึเปล่า หรือว่าเราตั้งเงื่อนไขกับความรักกันมากเกิดไป...

วันนี้หลังจากที่เราได้สนทนากับคนๆนึงสัพเพเหระตามประสาคนคุ้นเคย จนมาถึงเรื่องความรักเค้าคนนั้นได้พูดถึงประโยคๆนี้ ขึ้นมา พอเค้าคนนั้นพูดขึ้นมา ก็ทำให้เรานึกขึ้นได้ว่า เราเองก็เคยได้ยินประโยคนี้จากหนังตัวอย่างเหมือนนี่นา ประโยคนี้ถือได้ว่าเป็นประโยคทองของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว หลังจากวางสายไป ประโยคนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเรา จนทำให้เรามานั่งคิดตามว่า

“เออ แล้วความรักมันหมดอายุได้จริงๆเปล่า”

ถ้าความรักมันหมดอายุจริงๆ ถ้างั้นมันก็คงจะดีนะถ้าข้างๆตัวคนที่เราจะเลือกมาเป็นคนรักมีฉลากระบุวันหมดอายุเหมือนอาหารกระป๋อง(คงดียิ่งกว่านั้นถ้ามันพ่วงวิธีใช้ คำแนะนำ และคำเตือนมาด้วย เราจะได้บริโภคมันอย่างถูกวิธีและไม่มีพิษภัย) เพื่อน เราคนหนึ่งเปรียบความรักเหมือนกับอาหาร โดยบอกว่าเมื่อกาลเวลาทำปฏิกิริยากับเครื่องปรุงที่ก่อกำเนิดความรัก ความรักที่ดั้งเดิมบริสุทธิ์จะถูกสั่นคลอนด้วยสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา ทำให้บางครั้งเปรี้ยว บางครั้งหวาน บางครั้งขม แต่มันจะอยู่ตราบเท่าที่หัวใจเรายังจดจำ หากว่ากาลเวลาจะไม่ทับถมจนมันจมหายไป(ซึ่งเราก็แนะนำให้มันใส่สารกันบูด จะได้หมดเรื่องไป ซึ่งมันก็เถียงอีกว่าสารกันบูดเป็นสารเคมี มีพิษสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว อืมม..จริง) อีกคนบอกว่าความรักของมันเหมือนกับมาม่า(เพื่อนคนนี้ออกแนว อาภัพรัก) แค่ 6 เดือนหมดอายุ มันบอกกับเราว่ากินมาม่าแรกๆก็อร่อย กินบ่อยๆเข้าก็รู้ว่าอร่อยแบบฉาบฉวย ไม่นานก็เลิกกิน แถมผงชูรสเยอะ...หัวล้านอีก แรกๆรักกัน รักต้มไม่สุข ก็ค่อยๆเติมน้ำทีละนิดทีละนิด เต็มมากไปเส้นก็อืดอีก กินไม่อร่อย เก็บไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มีสถานเดียวคือทิ้ง!!! เพื่อนเราบอกว่ามันชอบมาม่าแบบสุกพอดีๆ มันบอกอีกว่า

“หายากนะ ต้มมาม่าแต่ละครั้ง แกว่าแกได้อร่อยเหมือนกันทุกครั้งรึเปล่า”

“มันต้องกะให้พอดีไง ทั้งน้ำและเวลา”

“ต้มน้ำเดือดเทใส่ เข้าเวฟต่ออีกสักนาที กำลังอร่อย” เราตอบไป

“อืม เนอะ ชั้นเองก็ไม่ประณีตเวลาทำมาม่าเอง มันถึงอร่อยไม่เท่ากันทุกครั้ง” มันว่า

ไปๆ มาๆ มาลงท้ายด้วยการทำมาม่าได้ไงเนี่ย แต่เอาเถอะต่างคนต่างความคิดต่างมุมมองแต่โดยรวมๆที่ทุกคนต่างก็มีความคิด ที่ตรงกันก็คือ ความรักนั้นต้องการการดูแลเอาใจใส่ทุกขั้นตอน เพื่อปรุงรสความรักนั้นให้มีรสชาติอร่อยและถนอมมันให้อยู่กับเราไปนานๆ...

Thursday, October 22, 2009

หญิงสาวผู้หลงรักดวงตะวัน


ทุกๆเช้าแสงสีอำพันของดวงตะวันที่สาดแสงอยู่ที่ตรงขอบฟ้า จะมีสายตาคู่หนึ่งที่คอยมองแสงสีทองนั้นอยู่อย่างชื่นชม


หญิงสาวชื่นชมดวงตะวันเมื่อตั้งแต่ครั้งแรกเห็น ในวันนั้นแสงสีทองของดวงตะวันฉาบร่างเธอให้คลายจากความเหน็บหนาว

หญิงสาวชื่นชมที่ดวงตะวันไม่เคยละทิ้งหน้าที่ของตนเอง ไม่มีวันไหนเลยที่เธอจะเห็นท้องฟ้าขาดแสงแดดอันอบอุ่น

หญิงสาวชื่นชมในความรอบรู้ของดวงตะวัน ที่คอยตอบคำถามเธอทุกครั้งที่สงสัย

ในแต่ละวันหญิงสาวจะเฝ้ามองดวงตะวันตั้งแต่อรุณรุ่งจนกระทั่งอาทิตย์อัสดง นั่นหมายถึงเวลาที่เธอจำต้องจากดวงตะวันอันผู้เป็นที่รัก

มีบางครั้งที่ดวงตะวันสาดแสงมาที่เธอราวกับยิ้มให้ เพียงเท่านั้นก็ทำให้โลกของเธอสดใสไปทั้งวัน

ทุกๆวันดวงตะวันยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

วันเวลาผ่านไป ...

จากความชื่นชม....แปรเปลี่ยนเป็นความรัก หญิงสาวหลงรักดวงตะวันเข้าซะแล้ว

หญิงสาวคอยเฝ้ามองดวงตะวันที่เธอหลงรัก เธอรู้จักดวงตะวันเพิ่มมากขึ้น ดวงตะวันดวงนี้ช่างแตกต่างจากดวงตะวันที่ติดอยู่ในภาพความทรงจำแรกของเธอยิ่งนัก

เธอหลงรักในความอบอุ่นของดวงตะวันที่คลายความเหน็บหนาวให้กับเธอทุกครั้งที่ดวงตะวันสาดแสงมา

หญิงสาวผู้นี้หลงรักในความงามที่เข้มแข็งของดวงตะวัน

เธอหลงรักในความเจ้าอารมณ์ของดวงตะวัน

บางวัน... ดวงตะวันก็ขี้รำคาญ หงุดหงิดจนสาดแสงร้อนแผดเผามายังพื้นโลก แต่ประเดี๋ยวเดียวดวงตะวันที่อบอุ่นก็กลับมาทำให้โลกของเธอยิ้มได้อีกครั้ง

บางวัน... ท้องฟ้าท้องฟ้าหม่นเพราะเมฆบดบังแสงตะวัน ... ดวงตะวันของเธอกำลังหมองหม่น เธออยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมดวงตะวันให้คลายจากความเศร้า

เธอหลงรักดวงตะวัน คงจะคล้ายๆกับตำนานดอกทานตะวันของกรีก เรื่องของนางไคลที นางไม้ผู้หลงรักเทพ แห่งดวงอาทิตย์ สุริยเทพนั้นไม่ได้รู้จักรักตอบ นางจึงได้นั่งหันหน้าส่งสายตาจ้องมองเทพบุตรสุดที่รักของนาง โดยไม่มองอะไรอื่นใดเลยทั้งวันตั้งแต่วินาทีแรกที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนกระทั่งถึงวาระที่ดวงอาทิตย์ตก

จนในที่สุด... ร่างของนางได้กลายสภาพ ขาทั้งสองข้างได้กลายเป็นลำต้น ใบหน้าได้กลายเป็นดอกไม้ และผมสีทองของนางได้กลายเป็นกลีบดอกสีเหลืองของทานตะวัน ซึ่งก็ยังหันหน้ารับดวงอาทิตย์ที่นางหลงใหลอย่างไม่เสื่อมคลาย

เจ้าดอกไม้ดอกน้อยนั้นหันหน้าแหงนมองไปหาดวงตะวัน ในบางครั้งก็มีสายลมพัดมา จนทำให้มันเอนปลิวไปตามสายลม

แต่ ทว่าเจ้าดอกไม้ดอกน้อยกลับยังหันหน้าไปหาดวงตะวันอยู่เสมอ แล้วพอดวงตะวันหายลับไปจากขอบฟ้า

เจ้าดอกไม้ดอกน้อยก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของดวงตะวันในยามเช้า ต่อไปอยู่เช่นเดิม

ถ้าหากวันพรุ่งนี้ไม่มีดวงตะวัน ...

เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเป็นเช่นไร

แต่ไม่ว่าดวงตะวันของเธอจะเป็นอย่างไร

โลกของเธอก็มีดวงตะวันเพียงดวงเดียวที่เธอ...หลงรัก

Sunday, July 5, 2009

Butterflies in my stomach


จั่วหัวเอาไว้ด้วยประโยคประหลาด คิดว่าหลายๆคนคงคิด(เหมือนเรา)ว่า ผีเสื้อ(บ้า)อะไร ไปบินอยู่ในท้องฟะ Butterflies in my stomach ถ้าแปลตามตัวจะได้ว่า มีผีเสื้ออยู่ในท้อง (คนกินดักแด้เข้าไป แล้วดักแด้ฟักเป็นผีเสื้อ?!!) หรืออาการหวิวๆ ในช่องท้อง ราวกับว่ามีผีเสื้อมาบินวนเวียนอยู่ในนั้น เค้าว่ามันคืออาการแรกเริ่มของคนกำลังมีความรักในช่วงระยะเริ่มแรกของความสัมพันธ์ มักรู้สึกได้ถึงความหวัง ตื่นเต้นยินดี ความอิ่มเอมในหัวใจ คุณเคยตกอยู่ในอาการแบบนั้นกันบ้างรึเปล่า เราเคยเป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดว่าอาการหรือความรู้สึกอะไรแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้จริง(อาจเป็นเพราะผีเสื้อเคยทำให้เรารู้สึกปั่นป่วน ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยจนทำให้เราปวดท้องกระมัง) อาการหวิวๆ โหวงๆในช่องท้องนั้นเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์นั้นคนเราได้เรียกมันว่า “ความรัก” ไอ้อาการที่ว่านี้ก็จะทำให้ร่างกายของคนเราหลั่งสาร epinephrine หรือ adrenaline เวลาที่รู้สึกกระวนกระวาย เป็นการสูบฉีดโลหิตจากท้องหรือลำไส้สู่กล้ามเนื้อเพื่อลดอัตราการไหลเวียน และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อลดความปรารถนาเวลามีความรัก ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อมาบินว่อนภายในช่องท้อง ความจริงแล้วไอ้อาการผีเสื้อบินในกระเพาะอาหารนั้นไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนที่มีความรักเท่านั้น เวลาที่เรารู้สึกประหม่า ตื่นเต้น เครียด หรือกังวลใจ อย่างเช่น ความรู้สึกตื่นเต้น กังวลใจก่อนเข้าห้องสอบ ไอ้เจ้าผีเสื้อที่ว่านี้มันก็จะมาบินวนเวียนในท้องของเราได้เช่นกัน แต่เราว่าความรู้สึกที่อธิบายถึง Butterflies in my stomach ได้ดีที่สุดคือ ความรู้สึกตกหลุมรักใครสักคน ไม่ใช่แค่ปิ๊งนะ แต่มันคือ การตกหลุมรัก เราไม่เคยเข้าใจความหมาย(หรืออาจเคยพยายามจะเข้าใจ)ของสำนวนนี้จนกระทั่งได้มาประสบเข้ากับตัวเอง ใช่แล้ว... เราขอสารภาพว่า เรากำลังมีอาการคล้ายๆอย่างนั้นอยู่ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายไอ้อาการที่ว่านี้อย่างไรดี มันเป็นความรู้สึกหวิวๆ เมื่อเจอหน้าคนๆนั้น รู้สึกหวิวๆเมื่อคิดถึงเรื่องของคนๆนั้น เมื่อพยายามจะนึกถึงตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน ความทรงจำมันก็จะเลือนราง เพราะความตื่นเต้น จนทำให้จำแทบไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง(แต่ชัดเจนในความรู้สึก) ถึงแม้มันจะไม่ใช่การตกหลุมรักครั้งแรกก็ตาม มันเหมือนกับว่าตัวเราสองคนมีแม่เหล็กที่คอยดึงดูดเข้าหากันตลอดเวลา เวลาที่หันไปก็จะเจอเค้าอยู่ตรงหน้า พอเค้าหายไป เราก็จะคอยมองหา เวลาที่เค้าเดินไปที่อื่น เราก็จะคอยมองตามด้วยความรู้สึกที่อยากจะเดินตามเค้าไปด้วย มันจริงเหรอเนี่ย!!! แค่คิดเจ้าบรรดาผีเสื้อก็พากันบินอีกแล้วสิ..